หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย การเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมของยุโรปตะวันตกเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการอพยพเข้าของอนารยชนและเป็นช่วงที่สร้างอารยธรรมใหม่ซึ่งต่างจากสมัยโบราณซึ่งเรียกช่วงนี้ว่า
สมัยกลางโดยมี 3 ระยะได้แก่
ระยะต้น
เริ่มตั้งแต่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายเป็นสมัยก่อรูปอารยธรรมและสังคมยุโรปใหม่ซึ่งเป็นสมัยที่มีความตกต่ำทางการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมซึ่งเรียกช่วงนี้ว่า ยุคมืด
>> การเมือง
ก่อนจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายชนเผ่าเยอรมันบางกลุ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนจักรวรรดิโรมันเป็นเวลานานแล้วแต่หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายชนเผ่าเยอรมันจึงตั้งอาณาจักรได้แก่
1.ชนเผ่าแฟรงก์
ตั้งถิ่นฐานในฝรั่งเศสและเบลเยียมต่อมาเป็นพวกแรกที่รวมยุโรปตะวันตกเป็นจักรวรรดิเดียวกันสำเร็จ
2.ชนเผ่าออสโตรกอท อพยพมาในอิตาลีแต่ถูกจักวรรดิไบเซนไทน์ปราบ
3.ชนเผ่าลอมบาร์ด ตั้งอาณาจักรในอิตาลี
4.ชนเผ่าแองโกลแซกซัน ตั้งอาณาจักรในเกาะอังกฤษ
5.ชนเผ่าเบอร์กันเดียน ตั้งอาณาจักรในภาคใต้ของฝรั่งเศสแถบลุ่มน้ำโรน
6.ชนเผ่าวิซิกอท ตั้งอาณาจักรในสเปนต่อมาถูกอาหรับเข้ารุกราน
หลังคริสต์ศตวรรษที่7ชนเผ่าต่างๆได้ล่มสลายเหลือเพียงชนเผ่าแองโกลแซกซันในอังกฤษและชนเผ่าแฟรงค์ในฝรั่งเศส
ช่วงนี้การเมืองในยุโรปตะวันตกปั่นป่วนและเกิดสงครามระหว่างชนเผ่าตลอดเพราะต่างพยายามขยายอาณาเขตจนปลายคริสต์ศตวรรษที่
7 พวก แฟรงค์เริ่มมีอำนาจจึงพยายามผนวกดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของตน
อาณาจักรแฟรงค์มีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดในสมัยจักพวรรดิชาร์เลอ-มาญ
พระองค์สามารถรวมยุโรปตะวันตก ยุโรปกลางและอิตาลีเป็นจักรวรรดิเดียวกันเป็นครั้งแรกหลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายต่อมาจักรพรรดิชาร์เลอมาญได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปาแห่งโรมเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันตก
สมัยของจักรพรรดิชาร์เลอ-มาญทรงพยายามฟื้นฟูการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจโดยรับแนวคิดจากคริสต์ศาสนา
ปกครองส่วนกลางรวมอำนาจที่จักรพรรดิและราชสำนักส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นมณฑลโดยส่งขุนนางไปปกครองที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดหลังจักรพรรดิชาร์เลอมาญสิ้นพระชนม์
จักรวรรดิเริ่มแตกเป็น3ส่วนซึ่งเป็นอาณาจักรฝรั่งเศส จักรวรรดิเยอรมัน
และอิตาลีในเวลาต่อมาและพวกขุนนางต่างมีอำนาจเพิ่มขึ้นจนแบ่งจักรวรรดิเป็นแคว้นนำไปสู่การปกครองแบบฟิวดัล
>> เศรษฐกิจ
ชนเผ่าเยอรมันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนต่างๆและเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นเกษตกรรมระบบนาโล่ง
พืชที่ปลูกส่วนใหญ่คือ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต
และข้าวบาร์เล่ย์ส่วนชลประทานขนาดใหญ่ถูกละเลยตั้งแต่สิ้นสุดสมัยโรมันในสมัยจักพวรรดิชาร์เลอมาญได้พยายามบำรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจได้แก่สะพาน
ขุดคลอง ระบบพาณิชย์ กำหนดมาตราชั่ง ผลิตเงินตรา
หลังคริสต์ศตวรรษที่9เกิดระบบฟิวดัลที่ครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง
Feudalism มาจาก fiefs
หมายถึงที่ดินที่เป็นพันธสัญญาระหว่างเจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินที่เรียกว่า
ข้า เจ้าของที่ดินจะเป็นขุนนางเรียกว่าลอร์ด ส่วนผู้อยู่ใต้อำนาจเรียกว่า วัสซัล
ความสำคัญของระบบฟิวดัล คือ
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับข้าตามระดับชั้นจากบนลงล่าง
กษัตริย์จึงเป็นเจ้านายชั้นสูงสุด ที่ดินทั่วราชอาณาจักรเป็นของกษัตริย์
แต่กษัตริย์พระราชทานแก่ขุนนางระดับสูงและขุนนางระดับสูงจะแบ่งที่ดินให้ขุนนางระดับต่ำกว่า
ขุนนางระดับสูงจึงเป็นข้าหรือวัสซัลของกษัตริย์
แต่เป็นเจ้านายหรือลอร์ดของขุนนางระดับต่ำ
ระบบนี้จะแบ่งที่ดินเป็นทอดๆถึงระดับล่างสุด คือ ข้าติดที่ดิน
ซึ่งทำให้เกิดความจงรักภักดีโดยตรง
กษัตริย์ที่เป็นเจ้านายในระดับบนสุดจึงไม่มีอำนาจในการคุมขุนนางแต่ขุนนางมีพันธะต่อกษัตริย์คือการส่งกำลังไปช่วยยามสงคราม
ส่งภาษีตามเวลา ฝ่ายกษัตริย์มีหน้าที่คุ้มครองขุนนาง
>> สังคม
สังคมมีความวุ่นวาย ขาดระเบียบวินัยและความมั่นคง สังคมเมืองแทบล่มสลาย
คนทั่วไปอ่าน เขียนไม่ได้ ยกเว้นพระและนักบวช
คริสต์ศาสนาเข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตโดยเป็นสถาบันเดียวที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ซึ่งการเข้ามามีบทบาทเนื่องจากความวุ่นวายทำให้ประชาชนหาที่พึ่งคือ
ศาสนา ซึ่งมีฐานะเป็นสถาบันหลักของจักรวรรดิโรมันที่มีประสิทธิภาพและเข้มแข็งแม้จักรวรรดิจะล่มสลาย
คริสต์ศาสนามีประมุขคือ สันตะปาปา
มีหน้าที่กำหนดนโยบายดังนั้นเมื่อจักรวรรดิโรมันสิ้นสุด
ศาสนจักรได้ร่วมมือกับกษัตริย์ของอนารยชนทำให้รักษาความปลอดภัยได้
ศาสนจักรจึงทำหน้าที่แทนจักรวรรดิโรมันในการยึดเหนี่ยวประชาชนและรักษาวัฒนธรรมความเจริญ
ระยะกลาง
ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีประชากรเพิ่มขึ้น
คริสต์-ศาสนาและระบบฟิวดัลเจริญถึงขีดสุดและเริ่มพัฒนาในหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ
สังคมและภูมิปัญญา
>> การเมือง
1.ความขัดแย้งระหว่างคริสตจักรกับจักรวรรดิ
จักรวรรดิแฟรงก์ล่มสลายช่วงคริสต์ศตวรรษที่9ดินแดนแบ่งเป็น
ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี เยอรมันมีจักรพรรดิแต่ไม่มีอำนาจมากจนสมัยพระเจ้าออทโทที่1พระองค์ได้ปกครองเยอรมันและอิตาลี
สันตะปาปาจอร์นที่ 12
จึงทรงสถาปนาพระเจ้าออทโทที่1เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ทั้งจักพรรดิและสันตะปาปาต่างอ้างอำนาจการปกครองร่วมกันช่วงนี้ศาสนจักรจึงไม่มีอำนาจเต็มที่จนได้มีการปฏิรูปอำนาจของศาสนจักรให้มีอำนาจสูงสุดทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสันตะปาปากับจักรพรรดิประกอบกับจักรพรรดิเยอรมันทรงพยายามขยายอำนาจในอิตาลีซึ่งสันตะ-ปาปปมีอำนาจอยู่
จักรพรรดิจึงเป็นฝ่ายแพ้ที่กรุงโรมซึ่งส่งผลให้ขุนนางแต่ละแคว้นมีอำนาจมากขึ้นทำให้ระบบฟิวดัลแข็งแกร่งขึ้น
สำหรับอังกฤษและฝรั่งเศส
ศาสนจักรไม่ค่อยแทรกแซงการเมือง กษัตริย์พยายามเพิ่มอำนาจทำให้อำนาจขุนนางลดลง
ในอังกฤษเกิดความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง
ในที่สุดพระมหากษัตริย์ต้องยอมจำนน
ต่อมาคณะขุนนางและพระได้กลายเป็นสมาชิกรัฐสภาของอังกฤษ
ส่วนฝรั่งเศสกษัตริย์มีอำนาจเพิ่มขึ้นจนมีอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จและกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
2.ระบบฟิวดัลเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
คริสต์ศตวรรษที่
9-10 พวกอนารยชนจากสแกนดิเนเวีย(ปัจจุบันคือ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก)
ที่เรียกว่า ไวกิ้งได้รุกรานจักรวรรดิแฟรงก์ ซึ่งจักรวรรดิไม่มีกำลังพอ
การป้องกันจึงเป็นของขุนนางท้องถิ่นซึ่งรวมผู้คนตามหมู่บ้านมาฝึกอาวุธตั้งกองทหารป้องกัน
ทำให้ขุนนางท้องถิ่นสร้างอิทธิพลของตนเกิดการเมืองหลายศูนย์อำนาจ
ขุนนางเริ่มมีอำนาจ ระบบฟิวดัลได้พัฒนาเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ
สังคมที่สำคัญช่วงคริสต์ศตวรรษที่11-13และเสื่อมในคริสต์ศตวรรษที่14และสลายตัวในคริศตวรรษที่
16
>> เศรษฐกิจ
ระยะแรกการค้าซบเซาเนื่องจากระบบฟิวดัลแต่ละแมนเนอร์มีเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองแต่เมื่อเกิดสงครามครูเสดซึ่งเป็นสงครามของคริสต์กับอิสลามช่วงคริสต์ศตวรรษที่11-12ผู้คนออกโลกภายนอกทำให้เศรษฐกิจเริ่มขยายตัวโดยเฉพาะการค้าและอุตสาหกรรมในหัวเมืองสำคัญในอิตาลีเช่น
วานิส เจนัว และเขตเมืองในเนเธอร์แลนด์ เริ่มติดต่อการค้าระหว่างประเทศ
การค้าทางบกเจริญไม่น้อยกว่าทางทะเลมีการตั้งศูนย์การค้าในหัวเมืองท้องถิ่น
การค้าทางทะเลเริ่มเจริญขึ้นโดนเฉพาะในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
สินค้าต่างแดนแพร่เข้ามาในยุโรป
เกิดชุมชนการค้าและอุตสาหกรรมทำให้ชาวชนบททิ้งนามาค้าขายหรือผลิตสินค้าหัตถกรรมในเมืองทำให้สังคมขยายตัวเกิดระบบเงินตราใหม่และเกิดสมาคมอาชีพซึ่งแบ่งเป็นสมาคมพ่อค้าและสมาคมการช่างเมื่อพวกนี้มีฐานะก็ช่วยสนับสนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อกิจการตน
>> สังคม
การขยายตัวทางเศรษฐกิจยุติในคริสต์ศตวรรษที่
13-14
เนื่องจากเกิดสงครามร้อยปีซึ่งเป็นสงครามของอังกฤษกับฝรั่งเศสและเกิดการแพร่ระบาดของกาฬโรคทำให้ประชาชนเสียชีวิต
1 ใน 3 ของประชากรทั้งทวีปทำให้เขตเมืองเสื่อมลง
หลังคริสต์ศตวรรษที่11
การค้าและอุตสาหกรรมเจริญขึ้นโดยเฉพาะในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ทำให้เกิดชุมชนเมืองอันประกอบด้วยชาวเมืองซึ่งไม่ได้อยู่ในสังคมฟิวดัลแต่เป็นคนรุ่นใหม่
และการขยายตัวของเศรษฐกิจทำให้ระบบฟิวดัลและขุนนางเสื่อมอำนาจลงแต่พ่อค้ามีอำนาจมากขึ้นเนื่องจากสังคมเริ่มมองฐานะ
ช่วงนี้คริสต์ศาสนาเจริญสูงสุด
สันตะปาปาเป็นสถาบันสากลซึ่งเห็นจากชัยชนะที่คริสตจักรที่เหนือจักรพรรดิเป็นผลการครอบงำทางความเชื่อ
กล่าวได้ว่า
ศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนภายใต้กฎเกณฑ์และมีอิทธิพลต่อการเมือง
เศรษฐกิจ และสังคมแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเสื่อมลง
ระยะปลาย
เป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สมัยใหม่ศาสนาถูกลดบทบาทลง
ความคิดแบบมนุษยนิยมเริ่มเข้ามามีบทบาท
ปรากฏการณ์ที่สำคัญได้แก่
ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์ศิทธิ์และเกิดรัฐชาติในฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน
>> การเมือง
1.การเสื่อมของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
การแข่งขันของจักรวรรดิเยอรมันแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับสันตะปาปาเป็นไปอย่างรุนแรงเนื่องจากจักรพรรดิเยอรมันทรงพยายามรวมจักรวรรดิเยอรมันและอิตาลีซึ่งขัดผลประโยชน์ทางการเมืองของคริสตจักรที่โรม
และสันตะปาปาทรงเชื่อว่ามีอำนาจเหนืออาณาจักร
สันตะปาปาเคยทรงบัพพาชนียกรรมจักรพรรดิเยอรมันหลายพระองค์และทรงสนับสนุนให้เกิดสงครามการเมืองในเยอรมันเพื่อทำลายอำนาจของจักรพรรดิ
ซึ่งในค.ศ.1273จักรพรรดิกลายเป็นตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจ อำนาจตกเป็นเจ้าของแคว้น
เยอรมันและอิตาลีจึงแยกเป็นรัฐไม่สามารถรวมตัวกัน
2.การเกิดรัฐชาติ
คริสต์ศตวรรษที่ 14
สถาบันกษัตริย์ตกต่ำลงเนื่องจากขุนนางไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ
และกษัตริย์ก็หันไปพึ่งพ่อค้า ระบบฟิวดัลจึงเสื่อมไปและเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ
ชาติแตกแยก เกิดสงครามระหว่างขุนนาง เจ้าแคว้น
ทำให้ขุนนางอ่อนแอลงประกอบกับเกิดสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสทำให้กษัตริย์รวมอำนาจและตั้งรัฐชาติ
เศรษฐกิจแบ่งเป็น2ช่วงเวลา
ได้แก่
1.คริสต์ศตวรรษที่
14 เศรษฐกิจเสื่อมโทรมลงทั้งเกษตกรรม อุตสาหกรรม
การค้าโดยสาเหตุคือสงครามและกาฬโรค
2.คริสต์ศตวรรษที่
15 เศรษฐกิจรุ่งเรืองอีกครั้ง อุตสาหกรรมได้รับการพัฒนา ทางด้านช่างฝีมือ ทอผ้า
เหมืองแร่ ซึ่งทำให้ระบบฟิวดัลเสื่อมลง
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ
ความเจริญทางด้านการเดินเรือทำให้ค้นพบดินแดนใหม่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและเป็นแหล่งวัตถุดิบ
ทำให้เกิดการอพยพไปยึดครอง ทำให้นายทุนร่ำรวย
พวกนายทุนได้สนับสนุนกษัตริย์เพื่อคุ้มครองกิจการของตน ขณะที่ขุนนางต้องอ่อนน้อมต่อกษัตริย์และนายทุน
ขุนนางต้องขายที่ให้ชนชั้นอื่นจึงเริ่มมีการลงทุนในที่ดินด้านเกษตกรรม
ทำให้ระบบฟิวดัลยุติลงในคริสต์ศตวรรษที่ 16
>> สังคม
ช่วงนี้ระบบฟิวดัลและศาสนจักรเสื่อมลงและเกิดสังคมการเมือง
การค้าทำให้เกิดชนชั้นกลางโดยมีสถานะระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่างกับชนชั้นชาวนา
ซึ่งชนชั้นกลางต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็งในการคุ้มครองกิจการ
และกษัตริย์ต้องการสนับสนุนจากชนชั้นกลางจึงทำให้สังคมเปลี่ยนไปคือ
1.ระบบฟิวดัลเสื่อมลงเนื่องจากสงครามครูเสดทำให้ขุนนางไปทำสงครามและเสียชีวิตรวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ขุนนางยากจนอีกทั้งข้าติดที่ดินได้อพยพเข้าเมืองจำนวนมาก
2.ชนชั้นกลางมีอำนาจแทนที่ขุนนางเนื่องจากสังคมได้เปลี่ยนค่านิยมจากชาติกำเนิดมาเป็นฐานะทางเศรษฐกิจ
3.เกิดขบวนการนักวิชาการสายมนุษยนิยมที่ศึกษาอารยธรรมกรีกและโรมัน
พยายามแยกกรอบแนวคิดทางศาสนาจากการศึกษา
Titanium gr 5-10 - The Ultimate Guide to the Best Stainless Steel
ตอบลบStainless steel plates are ford focus titanium hatchback one titanium cerakote of the easiest to nano titanium flat iron fit titanium cup on a stainless steel plate. titanium nitride gun coating In this article we will be using titanium gr 5-10 stainless steel
z375p4legcv516 Discreet Vibrators,couples sexy toys,small dildo,Butterfly Vibrator,sex chair,male sexy toys,wolf dildo,Discreet Vibrators,silicone sex doll m226m1wqcjy997
ตอบลบ