อิทธิพลของคริสต์ศาสนาต่ออาณาจักรโรมันเริ่มขึ้นในศตวรรษที่
4
หลังจากคริสตชนถูกกดขี่เป็นเวลานาน ต่อมาจักรพรรดิคอนสแตนโชตินที่ 1 ทรงเลื่อมใสในคริสต์ศาสนา และประกาศพระองค์เป็นคริสต์ศาสนิกชน
ก่อนสิ้นสุดคริสตศตววรษที่
4
ศาสนาคริสต์ก็กลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน โดยจักรพรรดิธีโอโดซิอุสที่ 1
เหตุที่คริสต์ศาสนามีความเจริญรุ่งเรื่อง
(1)
จักรพรรดิโรมันขาดความสามารถในการบริหารและความเป็นผู้นำ
(2)
ผู้นำทางคริสต์ศาสนามีคุณสมบัติที่จักรพรรดิไม่มี
(3)
ความแตกแยกและเสื่อมโทรมของสังคม คนจึงหวังมีชีวิตที่ดีในโลกหน้า
(4)
อนารยชนที่มารุกรานได้ทำลายความรุ่งเรืองของโรมันในด้านการปกครอง
เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมลง
คริสต์ศาสนากลับแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
ดินแดนในยุโรปมีแต่ความปั่นป่วน ศาสนาจึงเข้ามามีบทบาทเป็นผู้นำทางจิตใจ
และครอบงำยุโรปสมัยกลาง
บทบาททางสังคม
สมัยกลางคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป
เพราะสังคมมีแต่ความวุ่นวายและความเสื่อม คริสต์ศาสนาจะให้ความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจโดยเฉพาะคริสต์ศตวรรษที่
12 และ 13 ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุดเหนือสถาบันใดและเข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต
คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุด
คริสต์ศาสนิกชนต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนอย่างเคร่งครัด หากขัดแย้ง
จะต้องไต่สวนและลงโทษ
บทบาททางการเมือง
ศาสนาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองทั้งในระบบกษัตริย์
ระบบฟิวดัลและระบบศาล
- ระบบกษัตริย์
ศาสนจักรอ้างอำนาจเหนือกษัตริย์และขุนนางในฐานะผู้สถาปนากษัตริย์
- ระบบฟิวดัล
ศาสนจักรได้เข้ามามีบทบาทในการยุติสงครามการแย่งที่ดินระหว่างเจ้านายที่ดินต่าง ๆ
- ระบบการศาล ศาสนจักรได้จัดระบบการพิจารณาศาล
จึงอ้างสิทธิที่จะพิจารณาคดีทั้งศาสนาและทางโลก
- การไล่ออกจากศาสนาหรือบัพพาชนียกรรม
เป็นการห้ามเข้าร่วมกิจกรรมหรือพิธีกรรมทางศาสนา
- การตัดขาดจากศาสนาทั้งชุมชน โดยโบสถ์ในชุมชนจะปิด
ไม่ประกอบพิธีกรรมใดๆ ส่วนมากกฎข้อนี้ใช้ในการลงโทษการกระทำของผู้นำรัฐ
การลงโทษทำให้ศาสนจักรมีอำนาจเหนือประชาชนในสังคมทุกระดับชั้น
ตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง จนถึงข้าติดที่ดินระดับล่างสุด
บทบาททางเศรษฐกิจ
ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่ง
เนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจากประชาชน และบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น