วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของยุโรปสมัยกลาง



                หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย การเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมของยุโรปตะวันตกเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการอพยพเข้าของอนารยชนและเป็นช่วงที่สร้างอารยธรรมใหม่ซึ่งต่างจากสมัยโบราณซึ่งเรียกช่วงนี้ว่า สมัยกลางโดยมี 3 ระยะได้แก่





ระยะต้น
                เริ่มตั้งแต่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายเป็นสมัยก่อรูปอารยธรรมและสังคมยุโรปใหม่ซึ่งเป็นสมัยที่มีความตกต่ำทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมซึ่งเรียกช่วงนี้ว่า ยุคมืด





>> การเมือง
                ก่อนจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายชนเผ่าเยอรมันบางกลุ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนจักรวรรดิโรมันเป็นเวลานานแล้วแต่หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายชนเผ่าเยอรมันจึงตั้งอาณาจักรได้แก่
                1.ชนเผ่าแฟรงก์ ตั้งถิ่นฐานในฝรั่งเศสและเบลเยียมต่อมาเป็นพวกแรกที่รวมยุโรปตะวันตกเป็นจักรวรรดิเดียวกันสำเร็จ
                2.ชนเผ่าออสโตรกอท อพยพมาในอิตาลีแต่ถูกจักวรรดิไบเซนไทน์ปราบ
                3.ชนเผ่าลอมบาร์ด ตั้งอาณาจักรในอิตาลี
                4.ชนเผ่าแองโกลแซกซัน ตั้งอาณาจักรในเกาะอังกฤษ   
                5.ชนเผ่าเบอร์กันเดียน ตั้งอาณาจักรในภาคใต้ของฝรั่งเศสแถบลุ่มน้ำโรน
                6.ชนเผ่าวิซิกอท ตั้งอาณาจักรในสเปนต่อมาถูกอาหรับเข้ารุกราน
                7.ชนเผ่าแวนดัล ตั้งอาณาจักรในภาคเหนือของแอฟริกา






                หลังคริสต์ศตวรรษที่7ชนเผ่าต่างๆได้ล่มสลายเหลือเพียงชนเผ่าแองโกลแซกซันในอังกฤษและชนเผ่าแฟรงค์ในฝรั่งเศส ช่วงนี้การเมืองในยุโรปตะวันตกปั่นป่วนและเกิดสงครามระหว่างชนเผ่าตลอดเพราะต่างพยายามขยายอาณาเขตจนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 พวก แฟรงค์เริ่มมีอำนาจจึงพยายามผนวกดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของตน
                อาณาจักรแฟรงค์มีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดในสมัยจักพวรรดิชาร์เลอ-มาญ พระองค์สามารถรวมยุโรปตะวันตก ยุโรปกลางและอิตาลีเป็นจักรวรรดิเดียวกันเป็นครั้งแรกหลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายต่อมาจักรพรรดิชาร์เลอมาญได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปาแห่งโรมเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันตก




                สมัยของจักรพรรดิชาร์เลอ-มาญทรงพยายามฟื้นฟูการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจโดยรับแนวคิดจากคริสต์ศาสนา ปกครองส่วนกลางรวมอำนาจที่จักรพรรดิและราชสำนักส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นมณฑลโดยส่งขุนนางไปปกครองที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดหลังจักรพรรดิชาร์เลอมาญสิ้นพระชนม์
                จักรวรรดิเริ่มแตกเป็น3ส่วนซึ่งเป็นอาณาจักรฝรั่งเศส จักรวรรดิเยอรมัน และอิตาลีในเวลาต่อมาและพวกขุนนางต่างมีอำนาจเพิ่มขึ้นจนแบ่งจักรวรรดิเป็นแคว้นนำไปสู่การปกครองแบบฟิวดัล





>> เศรษฐกิจ
                ชนเผ่าเยอรมันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนต่างๆและเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นเกษตกรรมระบบนาโล่ง พืชที่ปลูกส่วนใหญ่คือ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เล่ย์ส่วนชลประทานขนาดใหญ่ถูกละเลยตั้งแต่สิ้นสุดสมัยโรมันในสมัยจักพวรรดิชาร์เลอมาญได้พยายามบำรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจได้แก่สะพาน ขุดคลอง ระบบพาณิชย์ กำหนดมาตราชั่ง ผลิตเงินตรา
                หลังคริสต์ศตวรรษที่9เกิดระบบฟิวดัลที่ครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
                Feudalism มาจาก fiefs หมายถึงที่ดินที่เป็นพันธสัญญาระหว่างเจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินที่เรียกว่า ข้า เจ้าของที่ดินจะเป็นขุนนางเรียกว่าลอร์ด ส่วนผู้อยู่ใต้อำนาจเรียกว่า วัสซัล





                ความสำคัญของระบบฟิวดัล คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับข้าตามระดับชั้นจากบนลงล่าง กษัตริย์จึงเป็นเจ้านายชั้นสูงสุด ที่ดินทั่วราชอาณาจักรเป็นของกษัตริย์ แต่กษัตริย์พระราชทานแก่ขุนนางระดับสูงและขุนนางระดับสูงจะแบ่งที่ดินให้ขุนนางระดับต่ำกว่า ขุนนางระดับสูงจึงเป็นข้าหรือวัสซัลของกษัตริย์ แต่เป็นเจ้านายหรือลอร์ดของขุนนางระดับต่ำ
                ระบบนี้จะแบ่งที่ดินเป็นทอดๆถึงระดับล่างสุด คือ ข้าติดที่ดิน ซึ่งทำให้เกิดความจงรักภักดีโดยตรง กษัตริย์ที่เป็นเจ้านายในระดับบนสุดจึงไม่มีอำนาจในการคุมขุนนางแต่ขุนนางมีพันธะต่อกษัตริย์คือการส่งกำลังไปช่วยยามสงคราม ส่งภาษีตามเวลา ฝ่ายกษัตริย์มีหน้าที่คุ้มครองขุนนาง





>> สังคม
                สังคมมีความวุ่นวาย ขาดระเบียบวินัยและความมั่นคง สังคมเมืองแทบล่มสลาย คนทั่วไปอ่าน เขียนไม่ได้ ยกเว้นพระและนักบวช
                คริสต์ศาสนาเข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตโดยเป็นสถาบันเดียวที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ซึ่งการเข้ามามีบทบาทเนื่องจากความวุ่นวายทำให้ประชาชนหาที่พึ่งคือ ศาสนา ซึ่งมีฐานะเป็นสถาบันหลักของจักรวรรดิโรมันที่มีประสิทธิภาพและเข้มแข็งแม้จักรวรรดิจะล่มสลาย
                คริสต์ศาสนามีประมุขคือ สันตะปาปา มีหน้าที่กำหนดนโยบายดังนั้นเมื่อจักรวรรดิโรมันสิ้นสุด ศาสนจักรได้ร่วมมือกับกษัตริย์ของอนารยชนทำให้รักษาความปลอดภัยได้ ศาสนจักรจึงทำหน้าที่แทนจักรวรรดิโรมันในการยึดเหนี่ยวประชาชนและรักษาวัฒนธรรมความเจริญ







ระยะกลาง
            ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีประชากรเพิ่มขึ้น คริสต์-ศาสนาและระบบฟิวดัลเจริญถึงขีดสุดและเริ่มพัฒนาในหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคมและภูมิปัญญา

>> การเมือง
1.ความขัดแย้งระหว่างคริสตจักรกับจักรวรรดิ
            จักรวรรดิแฟรงก์ล่มสลายช่วงคริสต์ศตวรรษที่9ดินแดนแบ่งเป็น ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี เยอรมันมีจักรพรรดิแต่ไม่มีอำนาจมากจนสมัยพระเจ้าออทโทที่1พระองค์ได้ปกครองเยอรมันและอิตาลี สันตะปาปาจอร์นที่ 12 จึงทรงสถาปนาพระเจ้าออทโทที่1เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
            ทั้งจักพรรดิและสันตะปาปาต่างอ้างอำนาจการปกครองร่วมกันช่วงนี้ศาสนจักรจึงไม่มีอำนาจเต็มที่จนได้มีการปฏิรูปอำนาจของศาสนจักรให้มีอำนาจสูงสุดทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสันตะปาปากับจักรพรรดิประกอบกับจักรพรรดิเยอรมันทรงพยายามขยายอำนาจในอิตาลีซึ่งสันตะ-ปาปปมีอำนาจอยู่ จักรพรรดิจึงเป็นฝ่ายแพ้ที่กรุงโรมซึ่งส่งผลให้ขุนนางแต่ละแคว้นมีอำนาจมากขึ้นทำให้ระบบฟิวดัลแข็งแกร่งขึ้น
            สำหรับอังกฤษและฝรั่งเศส ศาสนจักรไม่ค่อยแทรกแซงการเมือง กษัตริย์พยายามเพิ่มอำนาจทำให้อำนาจขุนนางลดลง ในอังกฤษเกิดความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง ในที่สุดพระมหากษัตริย์ต้องยอมจำนน ต่อมาคณะขุนนางและพระได้กลายเป็นสมาชิกรัฐสภาของอังกฤษ ส่วนฝรั่งเศสกษัตริย์มีอำนาจเพิ่มขึ้นจนมีอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จและกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์





2.ระบบฟิวดัลเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
            คริสต์ศตวรรษที่ 9-10 พวกอนารยชนจากสแกนดิเนเวีย(ปัจจุบันคือ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก) ที่เรียกว่า ไวกิ้งได้รุกรานจักรวรรดิแฟรงก์ ซึ่งจักรวรรดิไม่มีกำลังพอ การป้องกันจึงเป็นของขุนนางท้องถิ่นซึ่งรวมผู้คนตามหมู่บ้านมาฝึกอาวุธตั้งกองทหารป้องกัน
            ทำให้ขุนนางท้องถิ่นสร้างอิทธิพลของตนเกิดการเมืองหลายศูนย์อำนาจ ขุนนางเริ่มมีอำนาจ ระบบฟิวดัลได้พัฒนาเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่สำคัญช่วงคริสต์ศตวรรษที่11-13และเสื่อมในคริสต์ศตวรรษที่14และสลายตัวในคริศตวรรษที่ 16






>> เศรษฐกิจ
            ระยะแรกการค้าซบเซาเนื่องจากระบบฟิวดัลแต่ละแมนเนอร์มีเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองแต่เมื่อเกิดสงครามครูเสดซึ่งเป็นสงครามของคริสต์กับอิสลามช่วงคริสต์ศตวรรษที่11-12ผู้คนออกโลกภายนอกทำให้เศรษฐกิจเริ่มขยายตัวโดยเฉพาะการค้าและอุตสาหกรรมในหัวเมืองสำคัญในอิตาลีเช่น วานิส เจนัว และเขตเมืองในเนเธอร์แลนด์ เริ่มติดต่อการค้าระหว่างประเทศ
            การค้าทางบกเจริญไม่น้อยกว่าทางทะเลมีการตั้งศูนย์การค้าในหัวเมืองท้องถิ่น การค้าทางทะเลเริ่มเจริญขึ้นโดนเฉพาะในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สินค้าต่างแดนแพร่เข้ามาในยุโรป
            เกิดชุมชนการค้าและอุตสาหกรรมทำให้ชาวชนบททิ้งนามาค้าขายหรือผลิตสินค้าหัตถกรรมในเมืองทำให้สังคมขยายตัวเกิดระบบเงินตราใหม่และเกิดสมาคมอาชีพซึ่งแบ่งเป็นสมาคมพ่อค้าและสมาคมการช่างเมื่อพวกนี้มีฐานะก็ช่วยสนับสนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อกิจการตน





>> สังคม
            การขยายตัวทางเศรษฐกิจยุติในคริสต์ศตวรรษที่ 13-14 เนื่องจากเกิดสงครามร้อยปีซึ่งเป็นสงครามของอังกฤษกับฝรั่งเศสและเกิดการแพร่ระบาดของกาฬโรคทำให้ประชาชนเสียชีวิต 1 ใน 3 ของประชากรทั้งทวีปทำให้เขตเมืองเสื่อมลง




            หลังคริสต์ศตวรรษที่11 การค้าและอุตสาหกรรมเจริญขึ้นโดยเฉพาะในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดชุมชนเมืองอันประกอบด้วยชาวเมืองซึ่งไม่ได้อยู่ในสังคมฟิวดัลแต่เป็นคนรุ่นใหม่ และการขยายตัวของเศรษฐกิจทำให้ระบบฟิวดัลและขุนนางเสื่อมอำนาจลงแต่พ่อค้ามีอำนาจมากขึ้นเนื่องจากสังคมเริ่มมองฐานะ
            ช่วงนี้คริสต์ศาสนาเจริญสูงสุด สันตะปาปาเป็นสถาบันสากลซึ่งเห็นจากชัยชนะที่คริสตจักรที่เหนือจักรพรรดิเป็นผลการครอบงำทางความเชื่อ กล่าวได้ว่า ศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนภายใต้กฎเกณฑ์และมีอิทธิพลต่อการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเสื่อมลง





ระยะปลาย
            เป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สมัยใหม่ศาสนาถูกลดบทบาทลง ความคิดแบบมนุษยนิยมเริ่มเข้ามามีบทบาท
            ปรากฏการณ์ที่สำคัญได้แก่ ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์ศิทธิ์และเกิดรัฐชาติในฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน






>> การเมือง
1.การเสื่อมของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
            การแข่งขันของจักรวรรดิเยอรมันแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับสันตะปาปาเป็นไปอย่างรุนแรงเนื่องจากจักรพรรดิเยอรมันทรงพยายามรวมจักรวรรดิเยอรมันและอิตาลีซึ่งขัดผลประโยชน์ทางการเมืองของคริสตจักรที่โรม
            และสันตะปาปาทรงเชื่อว่ามีอำนาจเหนืออาณาจักร สันตะปาปาเคยทรงบัพพาชนียกรรมจักรพรรดิเยอรมันหลายพระองค์และทรงสนับสนุนให้เกิดสงครามการเมืองในเยอรมันเพื่อทำลายอำนาจของจักรพรรดิ ซึ่งในค.ศ.1273จักรพรรดิกลายเป็นตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจ อำนาจตกเป็นเจ้าของแคว้น เยอรมันและอิตาลีจึงแยกเป็นรัฐไม่สามารถรวมตัวกัน
2.การเกิดรัฐชาติ
            คริสต์ศตวรรษที่ 14 สถาบันกษัตริย์ตกต่ำลงเนื่องจากขุนนางไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ และกษัตริย์ก็หันไปพึ่งพ่อค้า ระบบฟิวดัลจึงเสื่อมไปและเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ชาติแตกแยก เกิดสงครามระหว่างขุนนาง เจ้าแคว้น ทำให้ขุนนางอ่อนแอลงประกอบกับเกิดสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสทำให้กษัตริย์รวมอำนาจและตั้งรัฐชาติ




            เศรษฐกิจแบ่งเป็น2ช่วงเวลา ได้แก่
            1.คริสต์ศตวรรษที่ 14 เศรษฐกิจเสื่อมโทรมลงทั้งเกษตกรรม อุตสาหกรรม การค้าโดยสาเหตุคือสงครามและกาฬโรค
            2.คริสต์ศตวรรษที่ 15 เศรษฐกิจรุ่งเรืองอีกครั้ง อุตสาหกรรมได้รับการพัฒนา ทางด้านช่างฝีมือ ทอผ้า เหมืองแร่ ซึ่งทำให้ระบบฟิวดัลเสื่อมลง
            ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ ความเจริญทางด้านการเดินเรือทำให้ค้นพบดินแดนใหม่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและเป็นแหล่งวัตถุดิบ ทำให้เกิดการอพยพไปยึดครอง ทำให้นายทุนร่ำรวย พวกนายทุนได้สนับสนุนกษัตริย์เพื่อคุ้มครองกิจการของตน ขณะที่ขุนนางต้องอ่อนน้อมต่อกษัตริย์และนายทุน ขุนนางต้องขายที่ให้ชนชั้นอื่นจึงเริ่มมีการลงทุนในที่ดินด้านเกษตกรรม ทำให้ระบบฟิวดัลยุติลงในคริสต์ศตวรรษที่ 16

>> สังคม
            ช่วงนี้ระบบฟิวดัลและศาสนจักรเสื่อมลงและเกิดสังคมการเมือง การค้าทำให้เกิดชนชั้นกลางโดยมีสถานะระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่างกับชนชั้นชาวนา ซึ่งชนชั้นกลางต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็งในการคุ้มครองกิจการ และกษัตริย์ต้องการสนับสนุนจากชนชั้นกลางจึงทำให้สังคมเปลี่ยนไปคือ
          1.ระบบฟิวดัลเสื่อมลงเนื่องจากสงครามครูเสดทำให้ขุนนางไปทำสงครามและเสียชีวิตรวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ขุนนางยากจนอีกทั้งข้าติดที่ดินได้อพยพเข้าเมืองจำนวนมาก
          2.ชนชั้นกลางมีอำนาจแทนที่ขุนนางเนื่องจากสังคมได้เปลี่ยนค่านิยมจากชาติกำเนิดมาเป็นฐานะทางเศรษฐกิจ
          3.เกิดขบวนการนักวิชาการสายมนุษยนิยมที่ศึกษาอารยธรรมกรีกและโรมัน พยายามแยกกรอบแนวคิดทางศาสนาจากการศึกษา





วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง



            อิทธิพลของคริสต์ศาสนาต่ออาณาจักรโรมันเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 4 หลังจากคริสตชนถูกกดขี่เป็นเวลานาน ต่อมาจักรพรรดิคอนสแตนโชตินที่ 1 ทรงเลื่อมใสในคริสต์ศาสนา และประกาศพระองค์เป็นคริสต์ศาสนิกชน
            ก่อนสิ้นสุดคริสตศตววรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ก็กลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน โดยจักรพรรดิธีโอโดซิอุสที่ 1





เหตุที่คริสต์ศาสนามีความเจริญรุ่งเรื่อง
(1) จักรพรรดิโรมันขาดความสามารถในการบริหารและความเป็นผู้นำ
(2) ผู้นำทางคริสต์ศาสนามีคุณสมบัติที่จักรพรรดิไม่มี
(3) ความแตกแยกและเสื่อมโทรมของสังคม คนจึงหวังมีชีวิตที่ดีในโลกหน้า
(4) อนารยชนที่มารุกรานได้ทำลายความรุ่งเรืองของโรมันในด้านการปกครอง
            เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมลง คริสต์ศาสนากลับแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย ดินแดนในยุโรปมีแต่ความปั่นป่วน ศาสนาจึงเข้ามามีบทบาทเป็นผู้นำทางจิตใจ และครอบงำยุโรปสมัยกลาง





บทบาททางสังคม
            สมัยกลางคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป เพราะสังคมมีแต่ความวุ่นวายและความเสื่อม คริสต์ศาสนาจะให้ความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจโดยเฉพาะคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุดเหนือสถาบันใดและเข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต
            คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุด คริสต์ศาสนิกชนต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนอย่างเคร่งครัด หากขัดแย้ง จะต้องไต่สวนและลงโทษ





บทบาททางการเมือง
            ศาสนาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองทั้งในระบบกษัตริย์ ระบบฟิวดัลและระบบศาล
       -   ระบบกษัตริย์  ศาสนจักรอ้างอำนาจเหนือกษัตริย์และขุนนางในฐานะผู้สถาปนากษัตริย์
       -   ระบบฟิวดัล ศาสนจักรได้เข้ามามีบทบาทในการยุติสงครามการแย่งที่ดินระหว่างเจ้านายที่ดินต่าง ๆ
       -   ระบบการศาล ศาสนจักรได้จัดระบบการพิจารณาศาล จึงอ้างสิทธิที่จะพิจารณาคดีทั้งศาสนาและทางโลก
       -   การไล่ออกจากศาสนาหรือบัพพาชนียกรรม เป็นการห้ามเข้าร่วมกิจกรรมหรือพิธีกรรมทางศาสนา
       -   การตัดขาดจากศาสนาทั้งชุมชน โดยโบสถ์ในชุมชนจะปิด ไม่ประกอบพิธีกรรมใดๆ ส่วนมากกฎข้อนี้ใช้ในการลงโทษการกระทำของผู้นำรัฐ
           การลงโทษทำให้ศาสนจักรมีอำนาจเหนือประชาชนในสังคมทุกระดับชั้น ตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง จนถึงข้าติดที่ดินระดับล่างสุด





บทบาททางเศรษฐกิจ
            ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่ง เนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจากประชาชน และบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครอง
            คริสตจักรได้วางรูปแบบการบริหารเลียนแบบของจักรวรรดิโรมัน ทำให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีกฎระเบียบและมีเป้าหมายชัดเจน คือ